วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ความรัก
ความรัก เป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับ การชอบ, การผูกพันทางจิตใจกับบางสิ่งบางอย่าง คำว่ารักมีความหมายในหลายแง่มุมซึ่งทั้งลึกซึ้งและกว้างขวาง ต่างคนต่างมีความรักต่อผู้อื่นแตกต่างกัน ดังนั้นจึงยากต่อการอธิบายและให้คำนิยามคำว่ารักแบบเฉพาะเจาะจง รักเป็นความสัมพันธ์ซึ่งไม่ได้อยู่ลอยๆ หากมีรักก็จะต้องมีผู้ซึ่งเป็นฝ่ายรักและอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถูกรัก ความรักเป็นนามธรรมจึงไม่อาจมองเห็น, ไม่อาจจับต้อง ไม่อาจวัดปริมาณได้. โดยทั่วไปแล้ว ความเสียหายหรือการจากไปของสิ่งรักจะนำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่ผู้รัก เนื่องจากผู้รักได้ให้คุณค่าแก่สิ่งนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความโศกเศร้าจะมากหรือน้อยขึ้นกับคุณค่าที่ผู้รักกำหนดให้กับสิ่งที่ตนรักนั้น ความรักไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงมนุษย์ สัตว์ต่างๆ ก็แสดงปรากฏการณ์ทางความรักให้เห็น เช่น การปกป้องลูก
นักปราชญ์ทั่วโลกพยายามหาความหมายที่แน่นอน หรือหานิยามของคำว่าความรัก แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อสรุปได้ว่าความรักนั้นมีนิยามเช่นไร เทวดาที่เกี่ยวข้องกับความรัก คือ กามเทพของศาสนาฮินดู และคิวปิดในตำนานความเชื่อของกรีก สัญลักษณ์ที่หมายถึงความรัก คือ รูปหัวใจสีแดง, การชูมือออกมา แล้วกางเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วก้อย ซึ่งหมายถึง ฉันรักเธอ (I Love You) นอกจากนี้บางทีดอกกุหลาบก็หมายถึงความรักด้วย วันแห่งความรัก (วันวาเลนไทน์) คือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งมักจะมีการแสดงความรักโดยการให้ของขวัญหรือให้ดอกกุหลาบ โดยถือว่าดอกกุหลาบนั้นเป็นดอกไม้แห่งความรั
รูปแบบของความรัก
ความรักต่อบุคคล:
ความรักต่อทายาท - รักที่พ่อแม่มีให้กับลูกผู้ซึ่งตนให้กำเนิด
ความรักต่อบุพการี - รักที่ลูกมีต่อพ่อแม่
ความรักต่อญาติพี่น้อง - รักที่มีระหว่างญาติพี่น้อง
ความรักต่อเพศตรงข้าม - รักที่อาจมีอารมณ์ และ/หรือ ความรู้สึกทางเพศมาเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ได้
ความรักต่อเพื่อน - รักที่มีระหว่างผองเพื่อน
ความรักต่อสถาบัน - รักที่ผู้รักมีต่อสถาบันที่ตนมีส่วนผูกพัน เช่น รักชาติบ้านเมือง, รักศาสนา, รักพระมหากษัตริย์, รักโรงเรียน, รักภาษาไทย ฯลฯ
ความรักต่อสิ่งต่างๆ - รักที่ผู้รักมีต่อสิ่งซึ่งตนเป็นเจ้าของหรือมีส่วนผูกพัน เช่น รักรถยนต์, รักหนังสือ, รักรถไฟ, รักเพลงคลาสสิก, รักฟุตบอล ฯลฯ
ความรักต่อตนเอง - รักที่ผู้รักมีต่อตนเอง
จากการแบ่งนี้ช่วยให้เราเห็นความแตกต่าง เช่น ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่นั้นแตกต่างจากความรักที่เรามีต่อแฟน. ความรักต่อพ่อแม่ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ความรักจึงยากต่อการวัดหรือการเปรียบเทียบ
ความรักในมุมมองของศาสนา
ศาสนาพุทธ
ความรักคือความทุกข์ รักน้อยทุกข์น้อย รักมากทุกข์มาก ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย ที่ใดมีรักที่นั้นมีชีวิต
หากแต่คำกล่าวนี้ แท้จริงไม่ได้สื่อความว่าไม่ให้คนเรารักกัน แต่ความรักที่ให้แก่กันจะต้องเป็นความรักที่มอบให้อย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีเมตตา ไม่คิดยึดติดในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียงหรือความรู้สึกต่อความรักนั้นๆ การแผ่เมตตาก็ถือเป็นความรักรูปแบบหนึ่ง
ศาสนาพุทธแบ่งความรัก (ปิยัง) เป็น 4 อย่าง คือ
ราคะ ความรักที่เกิดจากความต้องการทางเพศ
สิเนหา ความรักที่เกิดจากสัญชาติญาณ
เปมัง ความรักที่เกิดจากความผูกพัน ช่วยเหลือกันมา
เมตตา ความรักที่เกิดจากการฝึกให้คุณธรรมเกิดมีขึ้นใจจิตใจ
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์ถือว่าความรักคือสิ่งสูงสุด คือทุกสิ่ง คือพระลักษณะของพระเจ้า คือพระเจ้า พระเจ้าคือความรัก ความรักของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด
ความรักย่อมอดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัวไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียวไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในการประพฤติผิดแต่ชื่นชมยินดีในความประพฤติชอบความรักให้ทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสิ้นสุด เปรียบเสมือนความรักที่พระเยซูมีต่อเรา โดยลงมาตายบนไม้กางเขน ที่หาค่าไม่ได้ และไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ปรารถนาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับคืนดีกับเราอีก นอกจากนี้ ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีรักใดจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน''
และ เหตุฉะนั้นจึงตั้งอยู่ 3 สิ่ง ความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
นอกจากนั้นพระคัมภีร์ยังเตือนว่าการมีทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ดี แต่ถ้าหากปราศจากความรักแล้วจะมีคุณค่าก็หามิได้เลย แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไป เผาไฟ(สำเนาโบราณบางฉบับว่า เอาตัวไปเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้) แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า ... ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆก็จะเลิกพูดกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป...
พระองค์เอง ยังทรงย้ำอีกว่า คนที่เป็นสาวกของพระองค์ต้องมีความรัก หากไม่มีความรัก ไม่ใช่สาวกของพระองค์ เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา
ความรักในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ไม่ใช่การตามใจ แต่คือ การเตือนสติกันด้วยความรักด้วย เพื่อมุ่งปรารถนาให้คนๆนั้นกลับตัวกลับใจเสียใหม่ในเรื่องที่ทำผิด เรารักผู้ใดเราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจเสียใหม่ นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา
รักบริสุทธิ์ หรือ เพลโตนิคเลิฟ (Platonic love) เป็นคำนิยามของความสัมพันธ์ ที่ไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง คำว่าเพลโตนิคเลิฟ มาจากคำว่า อามอร์ เพลโตนิคัส (amor platonicus) ที่หมายถึง ความรักของเพลโต โดยมีความหมายเหมือนคำว่า อามอร์ โซเครติคัส (amor socraticus) ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง โซเครติส (Socrates) กับลูกศิษย์ โดยกล่าวถึงความรักที่ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ทั้งบุคคลที่อายุต่างกัน และบุคคลที่เพศต่างกัน หรือเพศเดียวกัน
คำภาษาไทยมาจากคำประสมระหว่าง คำว่า รัก และ บริสุทธิ์ หมายถึง รักที่มาจากความบริสุทธิ์ใจ
โดยคำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำว่าพลาโตนิคเลิฟ กล่าวโดย เซอร์วิลเลี่ยม เดวีแนนท์ (Sir William Davenant) ในปี พ.ศ. 2179(ค.ศ. 1636) เกี่ยวกับทฤษฎีของความรักตามคำกล่าวของเพลโต โดยความรักตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง และความซื่อสัตย์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของความรักบริสุทธิ์ ได้แก่ ความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือความรักระหว่างเพื่อนฝูง โดยสังเกตได้ว่าความรักบริสุทธิ์ นั้นจะไม่มีความเห็นแก่ตัว หรือความหึงหวง เข้ามาเกี่ยวข้อง
รักสามเส้า หมายถึงความสัมพันธ์ที่โรแมนติกที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลสามคน เกิดขึ้นจากการมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องระหว่างความสัมพันธ์ของคนสองคน โดยทั่วไป มีความหมายโดยนัยเกี่ยวกับความไม่สมหวังของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง อาจมีเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ในสังคมของสามีภรรยาเดียว ความรักสามเส้ามักจะเกิดขึ้นและจบลงด้วยเร็ว เนื่องจากมีกฎหมายและประเพณีเป็นข้อกำหนดสำหรับความรักของบุคคลที่สาม
รักสามเส้า นิยมใช้กันมากในโครงเรื่อง ของภาพยนตร์ นิยาย ละคร การ์ตูน หรือ ตามเนื้อเพลงต่างๆ
ตัวอย่างของกรณีรักสามเส้า คือ นายเอรักนางสาวบี แต่นางสาวบีได้ตกหลุมรักนายซี ทำให้นายเอไม่สามารถทำให้ความรักของตนสมหวังได้ เพราะไม่ได้รักคนที่มามีใจรักในตนเองได้
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
ปากีสถาน
ประเทศปากีสถาน หรือ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน (Islamic Republic of Pakistan) (อูรดู: پاکستان) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเอเชียใต้ มีพรมแดนติดกับประเทศอินเดีย อิหร่าน อัฟกานิสถาน และ จีน และมีชายฝั่งติดกับทะเลอาหรับ มีประชากรกว่า 150 ล้านคน มากเป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ใหญ่เป็นอันดับ 2 และเป็นสมาชิกที่สำคัญของ โอไอซี และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง
คำว่า "ปากีสถาน" ซึ่งมีความหมายว่า "ดินแดนของชนบริสุทธิ์" ในภาษาอูรดูและภาษาเปอร์เซียนั้น มาจากการรวมชื่อดินแดนในประเทศนี้ ประกอบด้วย ปัญจาบ (Punjab) อัฟกาเนีย (Afghania) แคชเมียร์ หรือกัษมีระ (Kashmir) สินธ์ (Sindh) และบาลูชิสถาน (BaluchisTAN)
ขนาดเนื้อที่ ประเทศปากีสถานมีอาณาเขตประมาณ ๗๙๖,0๙๙ ตารางกิโลเมตรจำนวนประชากร ๘๔ ล้านคนเมืองหลวง อิสลามาบัด
ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิประเทศปากีสถานลักษณะเป็นภูเขาและหุบเขา ซึ่งเกิดจากเทือกเขาที่มีชื่อเสียงมาบรรจบกันได้แก่ เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขากะมาโกราม และเทือกเขาฮินดูกูช เป็นต้น ยอดเขาสูงๆ มีอยู่ทั่วไป
ลักษณะภูมิอากาศ สภาพภูมิอากาศของประเทศปากีสถานแตกต่างกันออกไปตามสภาพที่ตั้ง มีตั้งแต่อากาศร้อนจัดจนถึงอากาศหนาวจัดในตอนเหนือของประเทศ ในตอนกลางของประเทศเป็นที่ราบมีอากาศร้อนในฤดูร้อนและเย็นลงในฤดู หนาวส่วนทางตอนเหนือจะมีอากาศต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในฤดูหนาว จึงมีหึมะปลกคลุมอยู่ทั่วไปปริมาณน้ำฝนที่ตกไม่มากนักยกเว้นทางตอนใต้ของ ประเทศติดกับ ทะเลอาหรับจะมีฝนตกหนักเนื่องจากได้รับอิทธิพลลมมรสุมตกชุกในปลายฤดูร้อน
ทรัพยากรธรรมชาติ ประชากรมากกว่าร้อยละ 75 เป็นชาวชนบทและดำรงชีพด้วยการเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประเทศ ผลิตผลส่วนใหญ่คือ ข้าวสาลี ข้าวเจ้า อ้อย และฝ้าย ส่วนการอุตสาหกรรมได้แก่ ผลิตภัณฑ์ อ้อย น้ำตาล ยาสูบ เป็นต้น
ศิลปะและวัฒนธรรม ของชาวปากีสถานแสดงให้เห็นถึงอย่างแท้จริง ผู้ที่มาเยือนจะพบหลักฐานถึงศิลปวัฒนธรรมของชาวปากีสถาน ศิลปกรรมของชาวปากีสถานมีรูปแบบทั้งที่เป็นศิลปกรรมทางศาสนา เช่น พรมขนสัตว์ เครื่องทองเหลือง และรูปแกะสลัก เป็นต้นทางด้านดนตรีและการฟ้อนรำมีประวัติอันยาวนาน การฟ้อนรำเป็นการฟ้อนของชาวปากีสถานโดยเฉพาะ สถานที่สำคัญในประเทศปากีสถานมีอยู่มากมาย เช่น เมืองโม เอ็นโจดาโร เป็นสถานที่ทางโบราณคดีที่สำคัญ ส่วนโบราณสถานของศาสนามีปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป เช่น ที่เมืองลาฮอร ์ เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ มีสถานที่สำคัญ ๆ หลายแห่ง เช่น ค่ายทหารเมืองลาฮอร์ และมัสยิดบาสชาฮิซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิออรังเซ็บ มัสยิดบาสชาฮินี้กว้างเป็นอันดับหนึ่งของโลก นอกจากนี้ ปากีสถานยังมีสถานที่อื่นๆที่นาสนใจอีกมาก ควรจะไปเที่ยวดินแดนทางภาคเหนือซึ่งเป็นขุนเขา มีหิมะปกคลุมตลอดฤดูหนาว
ส่วนทางด้านความสัมพันธ์ ประเทศไทยกับประเทศปากีสถานมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นมาเป็นเวลาช้านาน ชาวมุสลิมบางสวนมักนิยมส่งบุตรหลานของตนมาศึกษาที่ประเทศปากีสถานเป็นจำนวนมาก และการค้าระหว่างประเทศ
การเมืองการปกครอง ปากีสถานปกครองระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
การ์ตูน
(ญี่ปุ่น: クレヨンしんちゃん Kureyon Shinchan ?) (อังกฤษ: Crayon Shin-chan) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องและภาพโดยโยชิโตะ อุสึอิ ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นโดยสำนักพิมพ์ Futabasha ในประเทศไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ และได้รับการสร้างเป็นแอนิเมชัน ในปีพ.ศ. 2535
ชินจังจอมแก่น เป็นการ์ตูนแนวตลกขบขันเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ชินจังเป็นการ์ตูนที่มีลายเส้นง่ายๆ เป็นการ์ตูนยอดฮิตทุกประเทศ
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชินจัง
(โนะฮาร่า ชิโนสึเกะ; Nohara Shinosuke) เด็กอนุบาลวัย 5 ขวบสุดแก่น มีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อ (ฮิโรชิ) เช่น ชอบผู้หญิงหุ่นดีหน้าตาดี และยังชอบอาบน้ำกับพ่อมาก . แม่ของชินจัง (มิซาเอะ) มีนิสัยขี้เหนียวและขี้อ่อนแอโมโห.ชินจังมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อฮิมาวาริ. ครอบครัวของชินจังเลี้ยงหมาหนึ่งตัว ชื่อเจ้าขาว (ชิโร่). เพื่อน ๆ ของชินจังที่พบในเรื่องบ่อย ๆ คือ คาซาม่าคุง, เนเน่จัง, มาซาโอะคุง, และ โบจัง ชินจังมักมีท่าแปลกๆ เช่น ท่ามนุษย์ต่างดาวนู้ดครึ่งก้น ท่าที่เอากางเกงในมาครอบหัว โดยทำเหมือนกับว่ามันเป็นหน้ากาก ชินจังชอบดูการ์ตูนหน้ากากแอ็คชั่น เป็นคนที่ชื่นชอบ และชื่นชมในตัวหน้ากากแอ็คชั่นมาก การละเล่นของชินจังที่โรงเรียนคือ เล่นเป็นยุง เล่นเป็นอึ เล่นซ่อนแอบแบบไม่มีคนหา เล่นแกล้งตายบนหิมะ เล่นพ่อ แม่ ลูก
แผนผังการ์ตูนเรื่องชินจังจอมแก่น
ตัวละครหลัก
- โนะฮาร่า ชินโนซึเกะ (อายุ 5 ปี) ตัวละครเอกของเรื่อง มีนิสัยเจ้าชู้ แก่แดด กะล่อน ชื่นชอบสาวสวยหุ่นดีคล้ายฮิโรชิ หาเรื่องป่วนได้ทุกเวลา มีปัญหาเรื่องออกเสียงและการใช้ภาษาอย่างผิดหลักไวยากรณ์ กระนั้นก็ยังพูดจาฉะฉาน ใช้คำพูดเกินเด็ก แทงใจดำคน อ่านใจคนเก่งมาก (ดังพบเห็นได้จากการไปห้างสรรพสินค้า ที่มักจะรู้เล่ห์กลของพนักงานขาย) แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่รักครอบครัวและคนรอบข้างอยู่ ที่สำคัญกว่านั้นสิ่งที่ไม่มีใครพูดถึง คือ ความมีน้ำใจของชินจัง มีความเฉลียวฉลาด กล้าหาญ คิดดีทำดี และสุดท้ายเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแถมยังชอบช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนด้วย (ความสามารถพิเศษของชินจังคือ มีปฏิกิริยาตอบโต้กับสาวสวยรวดเร็ว ลอกเลียนแบบเก่ง ทำเครื่องแต่งกายเก่ง และเต้นเก่ง)
- โนะฮาร่า ฮิมาวาริ (วัยคลาน) น้องสาวของชินโนซึเกะ มีนิสัยคล้ายมิซาเอะ ชื่นชอบเครื่องประดับและดาราหนุ่มหล่อ ชื่อของฮิมาวาริมาจากการเลือกชื่อโดยการใช้เครื่องบินกระดาษ โดยคำว่า ฮิมาวาริ มาจากชื่อห้องเรียนที่ชินโนซึเกะเรียนอยู่ (ฮิมาวาริ แปลว่า ดอกทานตะวัน)
- โนะฮาร่า มิซาเอะ (อายุ 29 ปี) แม่ของชินโนซึเกะ ชอบใส่กางเกงในสีใส ขนหน้าแข้งดก ท้องลาย ทำให้ถูกชินโนะซึเกะนำไปล้อเสมอ นอกจากนั้นยังมีเรื่องอับอายขายหน้าเพื่อนบ้านจากการเล่นกับชินจังอยู่บ่อยๆ
- โนะฮาร่า ฮิโรชิ (อายุ 35 ปี) พ่อของชินโนซึเกะ มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท แอบเจ้าชู้และชอบกินเบียร์ เลี้ยงดูชินโนซึเกะแบบเพื่อน
- เจ้าขาว(ชีโร่) สุนัขที่ถูกทิ้ง ซึ่งชินจังนำมาเลี้ยง แต่มักจะไม่ได้รับการเอาใจใส่จากชินจังเท่าที่ควร
- ซากุราดะ เนเน่ มีชื่อเล่นว่า เนเน่จัง เป็นเด็กสาวในกลุ่มของชินโนซึเกะ มีนิสัยขี้โมโห แต่ซ่อนไว้โดยการทำนิสัยน่ารัก ชอบเล่นพ่อแม่ลูกเป็นชีวิตจิตใจ เนเน่จังจะต่อยตุ๊กตากระต่ายตัวเล็กเป็นการระบายอารมณ์ ซึ่งเลียนแบบมาจากคุณแม่ของเนเน่จังนั่นเอง
- โทโอรุ คาซาม่า มีชื่อเล่นว่า คาซาม่าคุง เป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ยุ่งอยู่กับธุรกิจ จึงทำให้คาซาม่าคุง มีนิสัยขี้โอ่ ชอบอวดร่ำอวดรวยในบางครั้ง และยังติดแม่มาก แต่เป็นเด็กเรียนดีของห้อง มักถูกชินโนซึเกะแซวเล่นและคอยปั่นป่วนตลอดเวลา เลยทำให้ไม่กล้าเปิดเผยความชอบส่วนตัวสักเท่าไหร่ เกรงจะถูกชินโนซึเกะเอาไปล้อ จริง ๆ แล้วเป็นเพื่อนที่สนิทกับชินจังมาก
- ซาโต้ มาซาโอะ มีชื่อเล่นว่า มาซาโอะคุง เป็นเด็กผมโล้น มีนิสัยขี้ระแวง ขี้แย อ่อนแอ ถูกหลอกง่ายจึงมักถูกเพื่อนๆลากไปสร้างวีรกรรมเสมอๆ มักถูกเด็กประถมรังแกบ่อยครั้ง มีฉายาว่า หัวข้าวปั้น หลงรักไอย์จังอย่างโงหัวไม่ขึ้น
- โบจัง เป็นเด็กที่พูดน้อยและตัวสูงที่สุดในกลุ่ม ลักษณะเด่นคือ มีน้ำมูกไหลย้อยตลอดเวลาและพูดแค่คำว่า "โบ" มีความลับอยู่ในเรื่องครอบครัว เพราะไม่ปรากฏพ่อแม่โบจังเลย (มีตอนที่กลุ่มชินจังพยายามตามสืบหาพ่อแม่ของโบจัง แต่ไม่สำเร็จ) มีความเก่งด้านศิลปะเชิงนามธรรม ได่รับรางวัลประกวดวาดภาพหลายครั้ง เช่น หัวใจของอีกา
ตัวละครรอง
- โอฮาร่า นานาโกะ ชินโนซึเกะมักเรียกเธอว่า พี่นานาโกะ เป็นเพื่อนบ้านของชินโนะซึเกะ มีคุณพ่อเป็นนักเขียนนิยายชื่อดัง ซึ่งหวงลูกสาวมาก นานาโกะเป็นคนที่น่ารัก และเป็นคนที่ชินโนะซึเกะแอบชอบด้วย
- ครูโยชินาง่า มิโดริ (อิชิซากะ มิโดริ) ครูประจำชั้นห้องฮิมาวาริ มักเหนื่อยหน่ายใจกับพฤติกรรมของชินโนซึเกะ แต่ภูมิใจที่ได้สอนเด็กๆจอมซนพวกนี้ ภายหลังได้แต่งงานกับ อิชิซากะ จุนอิจิ โดยมีพ่อสื่อแม่สื่อคือกลุ่มของชินโนซึเกะ แต่งงานที่โรงเรียนอนุบาล ท่ามกลางสายฝน ปัจจุบันมีลูกสาว ชื่อ โมโมะ
- ครูมัตสึซากะ อุเมะ ครูประจำชั้นห้องกุหลาบ มีลักษณะคล้ายสาวสวยไฮโซ ชอบต่อล้อต่อเถียงกับโยชินนาง่า บ่อยครั้ง มีจุดอ่อนเรื่องหาคนรักไม่ได้(แม้ว่าจะมีคนรักอยู่แล้วก็ตาม)และเรื่องการเป็นสาวโสด กำลังคอยหาดูใจกับหมอเกียวดะ โทคุโร่ ซึ่งตอนนี้ไปทำวิจัยขุดซากฟอสซิลไดโนเสาร์อยู่ต่างประเทศ
- ครูอาเงโอะ มาซึมิ ครูผู้มี2บุคลิก โดยเมื่อใส่แว่นจะมีท่าทางสงบเสงี่ยม เรียบร้อยและไม่กล้าแสดงออก แต่เมื่อถอดแว่นออกจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เก่งทางด้านคอมพิวเตอร์ แอบทำเว็บไดอารี่เป็นของตนเองแต่กลุ้มใจที่ไม่มีใครเข้ามาดูเลยสักคนเนื่องจากไม่กล้าบอกว่าตนเองมีเว็บไซด์
- ครูใหญ่ ทาคาคูระ บุนตะ ครูใหญ่แห่งโรงเรียนอนุบาลฟุตาบะ มีหน้าตาคล้ายนักเลงยากูซ่าระดับหัวหน้าแก๊งค์แต่จริงๆแล้วเป็นคนใจดี
- คุณนาย ทาคาคูระ ภรรยาของคุณครูใหญ่
- เคย์โกะ เป็นเพื่อนสนิทของมิซาเอะ มีสามีอายุน้อยกว่า ซึ่งชินจังมักจะนำเรื่องนี้ไปเล่าเพื่อนบ้านของน้าเคย์โกะ ให้อับอายเป็นประจำ มีลูกชาย 1 คน
ตัวละครอื่นๆ
- โนะฮาร่า กิงโนะสึเกะ พ่อของฮิโรชิ คุณปู่ของชินโนซึเกะ หัวล้านหน้าตาคล้ายชินโนซึเกะ เจ้าชู้ กะล่อน ชอบเด็กเอ๊าะ ๆ ไม่รู้จักแก่
- โนะฮาร่า ซึรุ แม่ของของฮิโรชิ คุณย่าของชินโนซึเกะ เป็นคนสนุกสนาน ซึ่งคุณปู่ของชินจังมักอยู่ในอำนาจ
- โนะฮาร่า เซมาชิ คุณลุงของชินโนซึเกะ เป็นพี่ชายของฮิโรชิ มีนิสัยขี้เหนียวมาก
- โคยาม่า โยชิจิ พ่อของมิซาเอะคุณตาของชินโนซึเกะ อดีตนายตำรวจ มักไม่ถูกชะตากับกิงโนะซึเกะ จึงหาเรื่องทะเลาะได้ทุกครั้งเมื่อเจอกัน(และมักจะเจอกันโดยบังเอิญเสียทุกครั้ง) มีนิสัยเคร่งขรึม ยึดขนมธรรมเนียม ต่างจากปู่ของชินจัง
- โคยาม่า ฮิซาเอะ แม่ของมิซาเอะคุณยายของชินโนซึเกะ เป็นคนใจดี คอยประนีประนอมข้อพิพาทระหว่างของโยชิจิกับกิงโนะซึเกะ
- โคยาม่า มาซาเอะ พี่สาวมิซาเอะคุณป้าของชินโนซึเกะ นิสัยขี้เล่น ชอบแกล้งมิซาเอะอยู่เสมอ ชอบใส่ชุดกิโมโน
- โคยาม่า มุซาเอะ พี่สาวมิซาเอะคุณน้าของชินโนซึเกะ มีปัญหาทางด้านการเงิน ซึ่งมิซาเอะให้ความช่วยเหลือ จากในหนังสือการ์ตูนตอนหนึ่ง
- ซากุระดะ โมเอโกะ คุณแม่ของเนเน่จัง มักไม่พอใจที่ชินโนซึเกะทำลายความสงบสุขในชีวิตของตนและครอบครัว มักระบายอารมณ์โดยการต่อยตุ๊กตากระต่าย จนติดเป็นนิสัยและทำให้เนเน่จังเลียนแบบโมเอโกะในที่สุด
- คาวามูระ ยาซึโอะ มีฉายาว่า ชีต้า เป็นเด็กห้องกุหลาบ เป็นนักฟุตบอล เป็นคู่ปรับของชินโนซึเกะ มักพ่ายแพ้ให้กับความกะล่อนของชินโนซึเกะบ่อยครั้ง
- ฮิโทชิ เด็กห้องกุหลาบ มีนิสัยแย่ ทำตัวนักเลง ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าโดยเฉพาะมาซาโอะคุง
เทรุโนบุ เด็กห้องกุหลาบ มีนิสัยแย่พอๆกับฮิโทชิ ชอบรังแกมาซาโอะคุง
- แก๊งแมงป่องแดงแห่งไซตามะ เป็นแก๊งนักเรียนม.ปลาย 3 คน ชอบบังเอิญแสดงตัวในสวนสาธารณะเวลาที่กลุ่มชินโนซึเกะ กำลังเล่น ทำให้ถูกนึกว่าเป็นตลกคาเฟ่ มีท่าประหลาดๆประจำแก๊งค์เสมอ แต่มักทำตัวเป็นประโยชน์ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เคยช่วยงานที่โรงเรียนอนุบาล
- บูริบูริซาเอมอน ตัวละครในจินตนาการของชินโนะซึเกะ ซึ่งชินโนะซึเกะเคยเขียนการ์ตูนเล่นบ่อยครั้ง
- หน้ากากแอ็คชั่น ฮีโร่ในดวงใจของชินโนซึเกะ
- ซากุระ มิมิโกะ นางเอกในหนังเรื่องหน้ากากแอ็กชั่น
- หุ่นยนต์คันตั้ม อะนิเมะหุ่นยนต์ในดวงใจของชินโนซึเกะ
สาวน้อยเวทมนตร์ โมเอะ-P อะนิเมะประเภทโชโจ ที่ชินโนซึเกะชื่นชอบ
การเมืองไทย
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย บนเส้นทางสายปฏิวัติ
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย บนเส้นทางสายปฏิวัติ
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย บนเส้นทางสายปฏิวัติ
บน เส้นทางอันยาวนานของประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีหลายต่อหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์หักเหออกจากเส้นทางตามระบอบประชาธิปไตย มีการใช้กำลังทางทหารยึดอำนาจทางการเมืองโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร และปฏิรูปหลายต่อหลายครั้ง บ้างสำเร็จ บ้างล้มเหลว แต่ก็สร้างผลสะเทือนต่อโฉมหน้าการเมืองไทยมิใช่น้อย
"ผู้จัดการ ปริทรรศน์" จะพาไปย้อนรอยเส้นทางการปฏิวัติในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย ก่อนมาถึงฉากสุดท้ายของการโค่นล้ม "ระบอบทักษิณ"
ย้อนรอย 'ทหาร' ผู้ก่อการ
'กบฏ ปฏิวัติ รัฐประหาร' โดย สาระสำคัญแล้ว การทำรัฐประหาร คือการใช้กำลังอำนาจเข้าเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐ โดยมากมักจะเปลี่ยนแปลงเฉพาะเพียงรัฐบาล แต่หากรัฐบาลใหม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองโดยสิ้นเชิงถือเป็นการ 'ปฏิวัติ' และหากการยึดอำนาจครั้งนั้นสำเร็จ จะเรียกว่า 'รัฐประหาร' แต่หากไม่สำเร็จ จะเรียกว่า 'กบฏ'
เมื่อสืบย้อนไปยังหน้าประวัติ ศาสตร์เก่าๆ ของการเมืองไทย จะพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายในลักษณะการปฏิวัติรัฐประหารมาตั้งแต่ก่อนสมัย ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียอีก
เหตุการณ์กบฏ ร.ศ.130 ในปี พ.ศ.2454 สมัยรัชกาลที่ 6 เสวยราชย์ได้เป็นปีที่ 2 มีคณะนายทหารที่เรียกว่า ‘คณะ 130’ (ตรงกับรัตนโกสินทร์ศก 130) ร่วมกันคิดการอันเป็นภัยต่อราชวงศ์ โดยซ่องสุมและคบคิดกันที่บริเวณย่านแพร่งสรรพศาสตร์ ซึ่งต่อมานายทหารกลุ่มนี้ก็ถูกจับกุมได้เสียก่อนลงมือกระทำการ คณะ 130 ถูกพิพากษาโทษลดหลั่นกันไป แต่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษทั้งหมด
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎรที่ทำการปฏิวัติการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น ประชาธิปไตยได้เพียงปีเดียว ปีต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน 2476 คณะราษฎรที่นำโดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ยึดอำนาจจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย นับเป็นการกระทำรัฐประหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ด้วยการเปลี่ยนรัฐบาลและยึดอำนาจภายในกลุ่มคณะราษฎรด้วยกันเอง
ในเดือนตุลาคม 2476 กองทัพจากหัวเมืองนำโดยพลเอก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชกฤดากร ในนามของ "คณะกู้บ้านเมือง" ยกทัพลงมาประชิดพระนคร และเข้ายึดสนามบินดอนเมือง เพื่อกดดันรัฐบาลของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาที่มีแนวโน้มจะเป็นเผด็จการท หาร และถวายพระราชอำนาจคืนแก่พระมหากษัตริย์ เพื่อให้ทรงพระราชทานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงให้แก่ทวยราษฎร์ ทว่าทางฝ่ายรัฐบาลไม่ยินยอม มีการปะทะกันหลายแห่ง การนำทัพของพระองค์เจ้าบวรเดชเข้ามาล้มล้างรัฐบาล โดยเคลื่อนทัพมาจากนครราชสีมา สู้รบกันที่ทุ่งบางเขนจนถูกฝ่ายรัฐบาลปราบปรามได้เด็ดขาด ได้กลายเป็นการกบฏ จนภายหลังเป็นที่รู้จักกันในนาม "กบฏบวรเดช"
"กบฏนายสิบ" เมื่อ วันที่ 3 สิงหาคม 2478 ทหารชั้นประทวนในกองพันต่างๆ ซึ่งมีสิบเอกสวัสดิ์ มหะมัด เป็นหัวหน้า ได้ร่วมกันก่อการเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจะสังหารนายทหารในกองทัพบก และจับพระยาพหลพลพยุหเสนาฯ และหลวงพิบูลสงครามไว้เป็นประกัน รัฐบาลสามารถจับกุมผู้คิดก่อการเอาไว้ได้ หัวหน้าฝ่ายกบฏถูกประหารชีวิต โดยการตัดสินของศาลพิเศษในระยะต่อมา
กบฏที่โด่งดังที่สุดอีกครั้งหนึ่งคือ "กบฏพระยาทรงสุรเดช" เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2482 ผู้ที่คิดล้มล้างรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้กลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังเดิม ซึ่งหากทำสำเร็จจะนับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ของการเมืองไทย นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ และได้ให้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร
ต่อมาคณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมี พลโทผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าสำคัญ ได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาล ซึ่งมีพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ แล้วมอบให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลต่อไป ขณะเดียวกัน ได้แต่งตั้ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย การยึดอำนาจครั้งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490
ในปีถัดมา นับเป็นปีที่การเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุด เริ่มตั้งแต่ต้นปีได้มี กบฏแบ่งแยกดินแดน ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2491 จะมีการจับกุมส.ส.ของภาคอีสานหลายคน เช่น นายทิม ภูมิพัฒน์, นายถวิล อุดล, นายเตียง ศิริขันธ์, นายฟอง สิทธิธรรม โดยกล่าวหาว่าร่วมกันดำเนินการฝึกอาวุธ เพื่อแบ่งแยกดินแดนภาคอีสานออกจากประเทศไทย แต่รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการจับกุมได้ เนื่องจากสมาชิกผู้แทนราษฎรมีเอกสิทธิทางการเมือง
เพียงหนึ่งเดือน เศษหลังจากนั้น คือวันที่ 6 เมษายน 2491 คณะนายทหารซึ่งทำรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 ได้บังคับให้นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วมอบให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าดำรงตำแหน่งต่อไป และนำมาสู่ "กบฏเสนาธิการ" 1 ตุลาคม 2491 ซึ่งพลตรีสมบูรณ์ ศรานุชิต และพลตรีเนตร เขมะโยธิน เป็นหัวหน้าคณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง วางแผนที่จะเข้ายึดอำนาจการปกครอง และปรับปรุงกองทัพจากความเสื่อมโทรม และได้ให้ทหารเข้าเล่นการเมืองต่อไป แต่รัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทราบแผนการ และจับกุมผู้คิดกบฏได้สำเร็จ
26 มิถุนายน 2492 นายปรีดี พนมยงค์ กับคณะนายทหารเรือ และพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังเข้ายึดพระบรมมหาราชวัง และตั้งเป็นกองบัญชาการ ประกาศถอดถอน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และนายทหารผู้ใหญ่หลายนาย พลตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการปราบปราม มีการสู้รบกันในพระนครอย่างรุนแรง รัฐบาลสามารถปราบฝ่ายก่อการกบฏได้สำเร็จ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนีออกนอกประเทศอีกครั้งหนึ่ง ความพยายามยึดอำนาจครั้งนั้นถูกเรียกว่า "กบฏวังหลวง"
29 มิถุนายน 2494 เกิดกบฏแมนฮัตตัน นาวาตรีมนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัยใช้ปืนจี้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปกักขังไว้ในเรือรบศรีอยุธยา นาวาเอกอานน บุญฑริกธาดา หัวหน้าผู้ก่อการได้สั่งให้หน่วยทหารเรือมุ่งเข้าสู่พระนครเพื่อยึดอำนาจ และประกาศตั้งพระยาสารสาสน์ประพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดการสู้รบกันระหว่างทหารเรือ กับทหารอากาศ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สามารถหลบหนีออกมาได้ และฝ่ายรัฐบาลได้ปรามปรามฝ่ายกบฏจนเป็นผลสำเร็จ และในวันที่ 29 พฤศจิกายนของปีเดียวกัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้
ในยุคที่โลก ตกอยู่ในภาวะสงครามเย็น และประเทศไทยเป็นยุคของอัศวินตำรวจ รัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการกระทำรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 นับเป็นรัฐบาลทหารที่ประกาศเดินหน้าดำเนินโยบายทำสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ อย่างเต็มที่ ด้วยการรื้อฟื้นกฎหมายคอมมิวนิสต์ 2495 และกวาดจับผู้มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาลครั้งใหญ่ที่รู้จักกันในนาม "กบฏสันติภาพ" ในปี พ.ศ.2497
16 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็น หัวหน้าคณะนายทหารนำกำลังเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากเกิดการเลือกตั้งสกปรก และรัฐบาลได้รับการคัดค้านจากประชาชนอย่างหนัก จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ต้องหลบหนีออกไปนอกประเทศ
"กงล้อ ประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้หมุนกลับหลังไปอีกแล้ว" แคล้ว นรปติ ผู้อาวุโสทางการเมือง ได้กล่าวถึงสภาพการณ์ภายหลังการปฏิวัติเงียบของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 เมื่อคณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง และให้สภาผู้แทน และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
17 พฤศจิกายน 2514 จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำการรัฐประหารตัวเอง ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้นทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี
จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์เดือนตุลา
การปฏิวัติโดยประชาชน 14 ตุลาคม 2516 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อการเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญของนิสิตนักศึกษา และประชาชนกลุ่มหนึ่งได้แผ่ขยายกลายเป็นพลังประชาชนจำนวนมาก จนเกิดการปะทะสู้รบกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เป็นผลให้จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ
ทว่าดอกไม้ประชาธิปไตยที่กำลังเบ่งบานก็ต้อง หยุดชะงักลง เมื่อพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ และคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 6 ตุลาคม 2519 เนื่องจากเกิดการจลาจล และรัฐบาลพลเรือนในขณะนั้นยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยทันที คณะปฏิวัติได้ประกาศให้มีการปฏิวัติการปกครอง และมอบให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมาพลเรือเอกสงัดก็ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลของนายธานินทร์ในวันที่ 20 ตุลาคม 2520
กบฏ 26 มีนาคม 2520 พลเอกฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังทหารจากกองพลที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี เข้ายึดสถานที่สำคัญ ฝ่ายทหารของรัฐบาลพลเรือน ภายใต้การนำของ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ได้ปราบปรามฝ่ายกบฏเป็นผลสำเร็จ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520
กบฏยังเติร์ก 1 เมษายน 2524 พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา ด้วยความสนับสนุนของคณะนายทหารหนุ่มโดยการนำของพันเอกมนูญ รูปขจร และพันเอกประจักษ์ สว่างจิตร ได้พยายามใช้กำลังทหารในบังคับบัญชาเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความแตกแยกในกองทัพบก แต่การปฏิวัติล้มเหลว ฝ่ายกบฏยอมจำนนและถูกควบคุมตัว พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา สามารถหลบหนีออกไปนอกประเทศได้ ต่อมารัฐบาลได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องการกบฏในครั้งนี้
รัฐประหารชั่วโมงเดียวของ รสช.
การ รัฐประหารที่อยู่ในความทรงจำอันแจ่มชัดของคนไทยที่สุด เห็นจะเป็นการรัฐประหารของคณะรสช. หรือคณะกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 ภายใต้การนำของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ เพราะผลพวงที่ติดตามมาจากการรัฐประหารครานั้นได้กลายเป็นบาดแผลฉกรรจ์ทางการ เมืองไทยโดยไม่มีใครคาดคิด
ภายหลังจากที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกาศจะนำ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก อดีตผู้บัญชาการทหารบกและรองนายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมอีกตำแหน่ง นับเป็นการจุดกระแสความไม่พอใจต่อทั้งกลุ่มนายทหารและนักการเมืองหลายฝ่าย
โดย กำหนดการเข้าเฝ้าคือเวลา 13.00 น. ของวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 แต่ในคืนวันที่ 22 ก.พ. เวลาประมาณเที่ยงคืน ได้มีรายงานจากวิทยุข่ายสามยอดของกองปราบปรามรายงานว่า ‘ป.1’ อันหมายถึง พล.ต.ต.เสรี เตมียเวส ผู้บังคับการกองปราบได้เดินทางถึงหน่วยคอมมานโด ที่ซอยโชคชัย ลาดพร้าว และสั่งให้กองปราบเตรียมพร้อม เพราะมีข่าวว่าอาจมีการปฏิวัติเกิดขึ้น ทว่าภายหลังได้มีการแจ้งยกเลิกการเตรียมดังกล่าว เพราะตรวจสอบไม่พบความเคลื่อนไหวของหน่วยกำลังใดในคืนนั้น
และยังมี รายงานด้วยว่าในคืนดังกล่าวพล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ได้ไปรับประทานอาหารค่ำที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ห้องใกล้เคียงกับที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และนายทหารระดับสูงจำนวนหนึ่ง ไปรับประทานอยู่ด้วยเช่นกัน โดยภายหลัง พล.อ.สุจินดา คราประยูร ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ว่า ใช้เวลาตัดสินใจเพียงแค่ชั่วโมงเดียว!
จาก บทความ 1 ปี รสช. โดยวุฒิชาติ ชุ่มสนิท หรือบินหลา สันกาลาคีรี อดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวสดรายงานว่า เดิมทีทหารเตรียมการจะจับตัว พล.อ.ชาติชาย และพล.อ.อาทิตย์ ที่สนามบินกองทัพอากาศ (บน.6) ในเวลา 19.30 น. ภายหลังจากการเข้าเฝ้า พร้อมกับการเคลื่อนกำลังทหารเข้ายึดจุดสำคัญทั่วกรุงเทพฯ แต่แผนกลับเปลี่ยนแปลงในเช้าวันนั้น
นายทหารที่ร่วมปฏิบัติการอัน เป็นแผนที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปตลอดกาล ในเวลา 11 นาฬิกาของเช้าวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 นั้น ส่วนใหญ่เป็นทหารอากาศ เมื่อ พล.อ.ชาติชาย และพล.อ.อาทิตย์ เดินทางถึงห้องรับรองพร้อมหน่วยรักษาความปลอดภัยประมาณ 20 นาย ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินซี 130 ที่จอดพร้อมอยู่แล้ว ทั้งสองได้ถูกแยกไปนั่งบริเวณที่นั่งวีไอพี ส่วนหน่วย รปภ.ถูกแยกไปอยู่ตอนท้ายเครื่อง
ทันทีที่เครื่องบินซี 130 เคลื่อนตัว ทหารสองนายในชุดซาฟารีสีน้ำตาลก็กระชากปืนพกจากเอว ควบคุม รปภ.ทั้ง 20 คนเอาไว้ เครื่องบินลดความเร็วลง พล.อ.ชาติชายถูกควบคุมตัว การปฏิบัติการเป็นไปตามแผนที่วางไว้ การปฏิวัติสำเร็จแล้ว !
จากนั้น ทหารบกจำนวน 2 กองทัพได้เคลื่อนออกประจำจุดต่างๆ ที่กำหนดไว้ พล.อ.เกษตร โรจนนิล ออกจากกองทัพอากาศ สมทบกับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.ร.อ.ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกแถลงการณ์กับประชาชน โดยให้เหตุผลในการยึดอำนาจครั้งนั้นว่า เนื่องจากพฤติการณ์ฉ้อราษฎร์บังหลวงของคณะผู้บริหารประเทศ ที่แสวงหาผลประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้อง อีกทั้งข้าราชการการเมืองบางคนยังได้ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงข้าราชการประจำผู้ ซื่อสัตย์สุจริต ผู้ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือนักการเมือง ประการต่อมาคือรัฐบาลกระทำตัวเป็นเผด็จการรัฐสภา ทำลายสถาบันทางทหาร ซึ่งนับเป็นสถาบันข้าราชการประจำเพียงสถาบันเดียวที่ไม่ยอมตกอยู่ใต้อิทธิพล ทางการเมือง และประการสุดท้ายที่ค่อนข้างจะเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงนั้น คือ การบิดเบือนคดีล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ !
เหตุดังกล่าว เนื่องมาจาก เมื่อปี 2525 พล.ต.มนูญ รูปขจร และพรรคพวก ได้บังอาจคบคิดวางแผนทำลายล้างราชวงศ์จักรีเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหา กษัตริย์ เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไปสู่รูปแบบที่ตนเองและคณะได้กำหนดไว้ แต่ไม่สำเร็จและถูกจับกุมในที่สุด แต่กลับได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีอิทธิพลทางการเมืองให้ได้รับการประกันตัว จนสามารถก่อความไม่สงบได้อีกถึง 3 ครั้ง ครั้งที่นับเป็นการกบฏคือ กบฏทหารนอกราชการเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2528
ซึ่งภายหลังจากการออก แถลงการณ์ดังกล่าว รสช. ก็เดินหน้ายึดทรัพย์นักการเมือง ทว่ารัฐบาลที่มีอายุเพียง 1 ปีของ รสช. ก็ต้องประสบกับอุปสรรคในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยจาก ประชาชนที่ไม่ต้องการให้มีการให้ใช้ร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหารับใช้การสืบ ทอดอำนาจของรัฐบาล รสช. อันนำมาสู่การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองที่กลายเป็นชนวนเหตุของเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬในเวลาต่อมา
การปฏิวัติครั้งสุดท้าย?
กลับมา สู่การปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นสดร้อนๆ บรรยากาศแห่งความอึมครึมเกิดขึ้นตลอดทั้งวันอังคารที่ 19 กันยายน และนับเป็นการปฏิวัติที่แปลกที่สุดในโลกเมื่อประชาชนพากันโทรศัพท์แจ้งข่าว กันตลอดทั้งวันว่า ทหารจะปฏิวัติ แต่สถานการณ์ก็ยังสับสนว่า ฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ จนกระทั่งเวลา 22.15 น. กลายเป็นฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกอากาศทางช่อง 9 อสมท. ประกาศภาวะฉุกเฉิน รัฐประหารตัวเอง มีคำสั่งปลด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกออกจากตำแหน่ง พร้อมกับมีคำสั่งให้มารายงานตัวต่อ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการนายกรัฐมนตรี โดยได้แต่งตั้ง พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้รับผิดชอบในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เวลา 22.30 น. ทหารจำนวนหนึ่งได้บุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล พร้อมด้วยรถถังประมาณ 10 คัน และรถฮัมวี่ 6 คัน กระจายกำลังเข้าควบคุมตามจุดต่างๆและให้ตำรวจสันติบาลและสื่อมวลชนออกจาก ทำเนียบรัฐบาล โดยทหารทั้งหมดมีสัญญลักษณ์ปลอกแขนสีเหลือง
จนกระทั่ง เวลา 23.00 น.คณะนายทหารภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ ผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้พล.ต.ประพาส ศกุนตนาถ ออกมาอ่านคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข ฉบับที่ 1 ว่า ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครไว้ได้หมดแล้ว และไม่ได้มีการขัดขวางจากฝ่ายทหารที่สนับสนุนพ.ต.อ.ทักษิณจึงขอประชาชนให้ ความร่วมมือ และนับเป็นประกาศคณะปฏิวัติที่สุภาพที่สุดด้วย เมื่อมีท้ายแถลงการณ์ด้วยว่า "ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย"
จาก นั้นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ได้ประกาศกฎอัยการศึกและยกเลิกคำสั่งประกาศภาวะฉุกเฉินของ พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลรายงานสถานการณ์ต่อพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ทั้งนี้มีรายงานว่า หลังจากที่ประชาชนทราบเหตุการณ์ว่า ทหารได้ทำรัฐประหารซ้อนยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณเรียบร้อยแล้ว ประชาชนจำนวนมากได้ออกจากบ้านมาแสดงความยินดี เช่นเดียวกับประชาชนที่ใช้รถสัญจรผ่านไปมาตามเส้นทางที่มีรถถังตั้งอยู่ได้ ลงจากรถมาโบกมือ ไชโยโห่ร้องให้กับทหาร พร้อมทั้งขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้นจะนิยมการถ่ายรูปคู่กับทหารเป็นอย่าง มาก ส่วนสถานการณ์ใกล้กับบ้านจันทร์ส่องหล้าของพ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงนั้น ทั้งบริเวณปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 และ 71 และรวมไปทั้งซอยจรัสลาภ ถนนสิรินธร มีทหารจาก ร.1 พัน 1 รอ.ประมาณ 30 นาย สวมชุดพรางอาวุธครบมือ พร้อมรถยีเอ็มซีจอดอยู่ ได้ตั้งจุดตรวจโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมตรวจด้วยอีกซอยละ 2 นาย พร้อมกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปด้านใน
จากนั้นคณะปฏิรูปฯได้ออกมา แถลงการณ์ออกมาเป็นระยะๆ ถึงความจำเป็นในการเข้ายึดอำนาจเนื่องจากรัฐบาลทักษิณได้สร้างความแตกแยก ขึ้นในบ้านเมือง มีการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงาน องค์กรอิสระ ถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรง เป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากนั้นคณะ ปฏิรูปฯได้ประกาศจะให้มีการปฏิรูปการเมืองเกิดขึ้นโดยเร็ว พร้อมเรียกร้องให้นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์ ร่วมเสนอแนวทางการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมายังสำนักงานเลขานุการกองทัพบก
ปิดฉากรัฐบาลทรราชที่มาจากการเลือกตั้ง และยุติบทสุดท้ายของ "ระบอบทักษิณและลิ่วล้อ"
ฟุตบอล
| ||
| ||
| ||
เพลง
Do you know what's worth fighting for,
คุณรู้มั้ยว่าจะต่อสู้กันไปทำไม
When it's not worth dying for?
มันคุ้มไหมที่จะต้องมาตาย
Does it take your breath away
มันทำให้คุณตื่นเต้นกันสุดฤทธิ์รึเปล่า
And you feel yourself suffocating?
และรู้สึกว่าเหมือนจะหายใจไม่ออก
Does the pain weigh out the pride?
ความเจ็บปวดมันทำให้ความหยิ่งลดลงบ้างไหม
And you look for a place to hide?
แล้วคุณก็ต้องหาที่หลบรึ
Did someone break your heart inside?
หรือมีใครทำให้คุณผิดหวัง/เสียใจ
You're in ruins
คุณน่ะเหลือแต่ซาก
One, 21 guns
Lay down your arms วางอาวุธลง
Give up the fight เลิกต่อสู้เถอะ
One, 21 guns
Throw up your arms into the sky, โยนมันทิ้งซะ(หมายถึงอาวุธ)
You and I ทั้งคุณและฉันน่ะแหละ
When you're at the end of the road
เมื่อคุณจนมุม
And you lost all sense of control
และคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
And your thoughts have taken their toll
และความคิดทำลายล้างพวกเขา
When your mind breaks the spirit of your soul
เมื่อจิตใจทำลายจิตวิญญาณของคุณเอง
Your faith walks on broken glass
ความเชื่อมั่นเหมือนเดินบนเศษแก้ว
And the hangover doesn't pass
เหล่าสิ่งที่ค้างคาก็ไม่ผ่านพ้น
Nothing's ever built to last
ไม่มีอะไรที่จะอยู่ทนนาน
You're in ruins
คุณน่ะเหลือแต่ซาก
One, 21 guns
Lay down your arms
Give up the fight
One, 21 guns
Throw up your arms into the sky,
You and I
(ซ้ำ)
Did you try to live on your own
ที่ผ่านมาคุณพยายามอยู่ด้วยตัวเอง..
When you burned down the house and home?
เมื่อคุณเผาที่อาศัยสูญสิ้นไปแล้วน่ะ
Did you stand too close to the fire?
คุณยืนใกล้ไฟเกินไปรึเปล่า
Like a liar looking for forgiveness from a stone
เหมือนคนขี้โกหกที่ร้องขอการให้อภัยจากก้อนหิน
When it's time to live and let die
เมื่อถึงเวลาดำรงชีพแล้วก็ตาย
And you can't get another try
และคุณไม่เหลือโอกาส
Something inside this heart has died
บางสิ่งบางอย่างในใจมันตายลง
You're in ruins
คุณน่ะเหลือแต่ซาก
One, 21 guns
Lay down your arms
Give up the fight
One, 21 guns
Throw up your arms into the sky
One, 21 guns
Lay down your arms
Give up the fight
One, 21 guns
Throw up your arms into the sky,
You
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552
การศึกษาต่อ
“ ศาสตร์แห่งแผ่นดิน
(ทางการ)
ประชาชน คือ เจ้าของประเทศ
เกษตรศาสตร์ คือ ภาษีของประชาชน
(ไม่เป็นทางการ) ”
มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดสอนทางด้านการเกษตร อันเป็นฐานรากของการดำรงชีวิตแบบไทยตั้งแต่อดีตกาล[1] ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งขึ้นเป็นอันดับ ที่สามของไทย โดยมีปณิธาณในการก่อตั้งเพื่อเป็นคุณประโยชน์แก่การกสิกรรมและการเศรษฐกิจ ของประเทศโดยตรง [2][3]
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เริ่มต้นจากการเป็นโรงเรียนช่างไหมในปี พ.ศ. 2447 [4][5] และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนการเพาะปลูก หลังจากนั้นรวมเข้ากับโรงเรียนแผนที่เป็นโรงเรียนกระทรวงเกษตราธิการ มีผลให้วิทยาการทางการเกษตรพัฒนาและก้าวหน้า มีกิจกรรมและวิชาการต่างๆ ที่ดำเนินการเอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่ประชาชนเสมอมา
ใน พ.ศ. 2486 รัฐบาลในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการปรับปรุงและรวมกิจการของวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่บางเขนกับโรงเรียน วนศาสตร์ (โรงเรียนการป่าไม้เดิม จังหวัดแพร่) มาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2486 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 โดยแรกเริ่ม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำการเปิดสอนเฉพาะด้านเกษตรศาสตร์ ต่อมา ได้มีการขยายสาขาวิชาครอบคลุมทั้งด้าน สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ บริหารธุรกิจ และ ศิลปศาสตร์ ตามมาตรฐานของมหาวิทยาลัยสากลอย่างสมบูรณ์
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนกรกฎาคม ในอดีตนิสิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แต่ในปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญา บัตร แก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จากทุกวิทยาเขต
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นคณะแรกตั้งของมหาวิทยาลัย เปิดสอนทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก
คณะ เศรษฐศาสตร์เป็น 1 ใน 4 คณะแรกตั้งของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 โดยใช้ชื่อว่า "คณะสหกรณ์" ต่อมา ในปี พ.ศ. 2509 ได้ขยายแผนการศึกษาครอบคลุมการศึกษาทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ ดังนั้น จึงได้เปลี่ยนชื่อคณะใหม่ว่า "คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ" เนื่องจาก คณะ ฯ มีจำนวนนิสิตและคณาจารย์เป็นจำนวนมาก โดยมีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 รองจากคณะเกษตร พร้อม ๆ กับที่ความต้องการบุคลากรในสาขาวิชาเหล่านี้ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2535 จึงมีการแบ่งส่วนราชการออกเป็นสองคณะ คือ "คณะเศรษฐศาสตร์" และ "คณะบริหารธุรกิจ " ดังเช่นปัจจุบัน